จะทำอย่างไรกันดี ? กับเด็กที่อ่านหนังสือไม่ออก จากการที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ได้ประกาศ วาระแห่งชาติด้านการศึกษา ของกระทรวงศึกษาธิการ โดยกำหนดให้ “ปี 2556 เป็นปีแห่งการรวมพลัง ยกระดับคุณภาพการศึกษา” พร้อมทั้งประกาศนโยบายเร่งด่วนที่จะลดปัญหาการอ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ของนักเรียนระดับประถมศึกษา โดยให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาทุกเขตทำการสอบคัดกรองความสามารถด้านการอ่านออกเสียงและความเข้าใจในการอ่านของ นักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 ทุกคนซึ่งสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากาญจนบุรีเขต 2 ได้ทำการประเมินความสามารถด้านการอ่านของนักเรียนได้ในวันที่ 12 กันยายน 2556 พบว่า ชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 (เด็กปกติ) เข้าสอบจำนวน 1,889 คน สรุปผลการประเมินนักเรียนมีความสามารถอยู่ในระดับดี(อ่านได้ถูกต้องและเข้าใจเรื่องที่อ่าน) ร้อยละ 60.19 อ่านไม่ออก ร้อยละ 5.13 อ่านดีแต่ไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน ร้อยละ 3.49 ที่เหลืออยู่ระดับพอใช้และปรับปรุง ส่วนในชั้นประถมศึกษาปีที่ 6 (เด็กปกติ) เข้าสอบจำนวน 1,691คน สรุปผลการประเมินนักเรียนมีความสามารถอยู่ในระดับดี(อ่านได้ถูกต้องและเข้าใจเรื่องที่อ่าน) ร้อยละ 63.57 อ่านไม่ออก ร้อยละ 1.36 อ่านดีแต่ไม่เข้าใจเรื่องที่อ่าน ร้อยละ 4.08 ที่เหลืออยู่ระดับพอใช้และปรับปรุง
จากข้อมูลผลการประเมิน จะเห็นได้ว่ามีเด็กนักเรียนทั้งชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 และชั้นประถมศึกษา ปีที่ 6 ที่ยังอ่านหนังสือไม่ออก แล้วอีกหลายชั้นที่ยังไม่ได้ทำการประเมินล่ะ? จะมีอีกมากน้อยแค่ไหน? ที่เด็กยังอ่านหนังสือไม่ได้จึงเป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงอย่างยิ่งสำหรับการศึกษาไทยและอนาคตของประเทศไทย โดยกระทรวงศึกษาธิการ ก็ได้เล็งเห็นถึงปัญหานี้จึงได้ออกมาตรการเร่งรัดให้ทุกเขตพื้นที่ และโรงเรียนทำแผนเร่งด่วน เพื่อแก้ปัญหาและช่วยเหลือนักเรียนเป็นรายคน โดยกำหนดให้ “เด็กอ่านไม่ออกเขียนไม่ได้ต้องไม่มี”ในโรงเรียน จึงถึงเวลาแล้วที่ทุกฝ่ายไม่ว่าจะเป็น นักจัดการศึกษา ผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน ครูและพ่อแม่ผู้ปกครองทุกคนต้องร่วมมือกันแก้ปัญหาและช่วยเหลือนักเรียนซึ่งสามารถทำได้หลากหลายวิธี ในที่นี้ จะขอเสนอแนะวิธีการแก้ปัญหาและช่วยเหลือนักเรียนดังนี้ เริ่มต้นด้วยความรักและความเข้าใจไม่ว่าเด็กจะอ่านหนังสือได้หรือไม่ก็ตาม การแก้ไขปัญหาควรเริ่มต้นที่ความรักความเข้าใจ และตามมาด้วยความตั้งใจที่จะช่วยเหลือ ครูผู้สอนและพ่อแม่ผู้ปกครองไม่ควรตำหนิ ต่อว่า หรือเปรียบเทียบกับเด็กคนอื่นๆ ข่มขู่ หรือลงโทษ เพราะนอกจะไม่ช่วยให้เด็กรักการอ่านแล้ว ยังอาจเป็นการเร่งให้เขายิ่งเกลียดการอ่านมากขึ้น ครูผู้สอนและพ่อแม่ผู้ปกครองจึงควร เปิดใจคุยกันกับเด็กถึงปัญหาการอ่าน เพื่อเปลี่ยนความคิดของเด็กให้เห็นความสำคัญของการอ่าน โดยในระหว่างการพูดคุยควรทำให้เด็กสัมผัสถึงความรักและความปรารถนาดีต่อเขา ไม่ใช่เรียกมาเพื่อต่อว่า หรือประจานต่อหน้าผู้ไปเยี่ยมห้องเรียน ที่สำคัญควรให้กำลังใจ และเชื่อมั่นว่าเด็กสามารถอ่านได้ เพื่อให้เด็กเห็นคุณค่าในตัวเองและมีกำลังใจที่จะอ่านหนังสือ
ประสานความร่วมมือกันทุกคนที่เกี่ยวข้องกับเด็ก ครูทุกคนในโรงเรียนและพ่อแม่ผู้ปกครองต้องประสานความร่วมมือซึ่งกันและกัน ส่งต่อข้อมูลและสื่อสารกันด้วยความเข้าใจ มีเป้าหมายเดียวกัน จะทำให้การช่วยเหลือนักเรียนประสบผลสำเร็จ โดยโรงเรียนต้องทำความเข้าใจกับผู้ปกครอง และแจ้งแนวทางการแก้ปัญหาให้ผู้ปกครองทราบ และติดต่อสื่อสารกันสม่ำเสมอ เช่น ครูสอนให้นักเรียนอ่านหนังสือที่โรงเรียนและให้การบ้านโดยให้ไปอ่านให้ผู้ปกครองฟัง ครูก็จะต้องประสานติดตามการอ่านของนักเรียนกับพ่อแม่ผู้ปกครอง กระตุ้นให้เด็กอยากอ่านและเป็นแบบอย่างด้านการอ่าน ครูผู้สอนและพ่อแม่ผู้ปกครองควรปรับเปลี่ยนหรือหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะส่งเสริมการอ่านของเด็กอยู่เสมอ เพื่อให้เด็กไม่รู้สึกเบื่อหน่ายเช่นให้เด็กเลือกหนังสือที่สนใจ แล้วอ่านหนังสือให้เด็กฟัง เพื่อกระตุ้นความสนใจของเด็ก การอ่านหนังสือให้เด็กฟังจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งกับเด็ก เพราะนอกจากเด็กจะได้รู้เรื่องจากการฟังและการพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องในหนังสือแล้วเด็กยังจะได้แบบอย่างการอ่าน การออกเสียง จังหวะ วรรคตอน และการใช้ภาษา การอ่านหนังสือให้ฟังบ่อยๆเด็กจะมีคลังคำในสมองมากซึ่งจะช่วยให้เด็กสื่อสารได้ดี ครูผู้สอนและพ่อแม่ผู้ปกครองในระดับประถมศึกษา (ป.1-6)จึงควรอ่านหนังสือให้เด็กฟังบ่อยๆถึงแม้ว่าเด็กจะอ่านหนังสือออกแล้วก็ตาม ในบางครั้งอาจไม่ต้องอ่านให้จบเรื่องก็ได้เพื่อกระตุ้นให้เด็กอยากรู้เรื่องต่อ เด็กจะได้พยายามอ่านและจะส่งผลให้เด็กสามารถอ่านเองได้ ให้กำลังใจและรางวัลเนื่องจากการที่เด็กกว่าจะอ่านหนังสือออกต้องใช้เวลาและความมานะพยายามซึ่งเด็กอาจเบื่อหน่าย จึงควรให้กำลังใจและรางวัลกับเด็กบ้างเมื่อเด็กเริ่มอ่านได้บ้างแล้ว ครูผู้สอนและพ่อแม่ผู้ปกครองควรเปิดโอกาสให้เด็กหาวิธีการที่จะพัฒนาทักษะการอ่านของตนให้ดีขึ้น เช่น ให้เด็กเลือกหนังสือที่อยากอ่าน ร่วมกับเด็กกำหนดเวลาที่เจาะจงในแต่ละวันในการอ่าน และก็ควรปรับเปลี่ยนหรือหาวิธีการใหม่ๆ ที่จะสอนให้เด็กอ่านอยู่เสมอ เพื่อให้เด็กไม่รู้สึกเบื่อหน่าย หากผู้บริหารการศึกษา ผู้บริหารโรงเรียน ครูผู้สอนและพ่อแม่ผู้ปกครอง ใช้ความรักความเข้าใจ มีความตั้งใจจริงที่จะช่วยเหลือเด็กเป็นแบบอย่างที่ดีด้านการอ่าน และประสานความร่วมมือกันอย่างต่อเนื่องเพื่อช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้กับเด็กนักเรียนที่อ่านหนังสือไม่ออกให้หมดไป เขตพื้นที่ของเราก็จะมีนักเรียน “อ่านหนังสือออก100 %” พวกเราก็ไม่ต้องมานั่งเป็นห่วงและวิตกกังวลกันอีกต่อไปว่าจะทำอย่างไรกันดี ? กับเด็กที่อ่านหนังสือไม่ออก
อ้างอิง |
บทความน่ารู้ >